วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551
ประวัติ B-BOY
คำว่า B-Boying นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชนชาติแอฟริกัน คือ คำว่า Boioing หมายความว่า กระโดด,โลดเต้น และถูกใช้ในแถบ Bronx Riverในการเรียก รูปแบบการเต้นเบรกกิ้งของกลุ่มชาวบีบอย ตัว B ในคำว่า Bgirl : Bboy นั้นย่อมาจาก Break-Girl : Break-Boy(บางทีก็หมายถึง Boogie หรือ Bronx) B-Boying นั้นยังเป็นที่รู้จักในชื่อ เบรกกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ (อันหลังได้รับการบัญญัติโดยสื่อมวลชน)Breaking นั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Rocking มาก่อน เป็นการสะท้อนของอิทธิพลจากชนชาวแอฟริกัน อเมริกัน หรือวัฒนธรรมชาวลาติน(เปอโตริกัน)ซึ่งมาพร้อมกับการอพยพ และ ปักฐานที่กรุงนิวยอร์กในช่วงปลายยุค60นั่นเอง"เบรกกิ้ง" เป็นการเต้นที่ได้รับอิทธิพลจากการเต้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งท่วงท่าจากกีฬายิมนาสติก รวมถึงจากศิลปะการเคลื่อนไหวของโลกตะวันออกอีกด้วย เป็นที่คาดคิดกันว่า เบรคกิ้ง หรือเบรคแด๊นซ์นั้นมีรากฐานมาจากคาโปเอร่า หรือ Capoeira คำว่า เบรค (Break)--นั้นเป็นช่วงของจังหวะดนตรีที่ดุดันและเร้าใจ ในช่วงจังหวะนี้เหล่านักเต้นจะแสดงอารมณ์ด้วยท่าเต้นที่จะดึงดูดสายตาที่สุดเลยทีเดียวเรียกว่ามีอะไรก็เอามาโชว์ให้หมด Kool DJ Herc เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในการขยายช่วงจังหวะนี้ให้สนุกมากขึ้นด้วยเทิร์นเทเบิ้ลถึงสองตัว โดยเล่นแผ่นเสียงพร้อมกันทั้ง2เครื่องและใช้แผ่นเสียงเพลงเดียวกัน ใช้เทคนิคถูแผ่นต่างๆกันไปซึ่งนักเต้นสามารถจะถ่ายทอดท่าเต้นได้นานกว่าเดิม ที่มักจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที ในระยะแรกๆนั้นการเต้นจะเป็นท่า upright ที่ภายหลังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ top rocking เป็นท่ายืนเต้น ซึ่งมีอิทธิพลมาจาก Brooklyn uprocking, การเต้นแท็ป , lindy hop , ซัลซ่า, ท่าเต้นของ Afro Cuban, ชนพื้นเมืองแอฟริกันและชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน และก็ยังมีท่าท๊อปร็อคแบบ Charleston ที่เรียกว่า"Charlie Rock" อิทธิพลอีกอย่างนั้นมาจาก James Brown กับผลงานเพลงยอดฮิต Popcorn (1969) และ Get on the Good Foot (1972) จากท่าเต้นที่เต็มไปด้วยพลังและรูปแบบที่โลดโผนสนุกสนาน ผู้คนจึงเริ่มที่จะเต้นในแบบ GoodFoot ในขณะ ที่การต่อสู้กันด้วยลีลาท่าเต้นเริ่มจะกลายมาเป็นประเพณีการเต้น Rocking หรือ Breaking นั้นก็เริ่มจะแทรกซึมเข้ามาสู่วัฒนธรรมฮิปฮอป (ปะทะกันด้วยความสร้างสรรค์ไม่ใช่ด้วยอาวุธ) และมันเริ่มพัฒนาท่าเต้นที่เริ่มหลากหลายขึ้น ทั้งการย่ำเท้า การสับขา การลากเท้า และท่วงท่าที่จะใช้ปะทะกัน คือมีดีอะไรก็นำมาโชว์และเป็นที่มาของท่า footwork(floor rocking) และ freezesFloor rocking มีอิธิพลมาจากภาพยนตร์แนวต่อสู้ ในช่วงปลายยุค70, การเต้นแท็ป ( ฟุตเวิร์กแบบชาวรัสเซีย,การตบ, การกวาดตัวเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว, ท่าล้อเกวียน ) และท่าอื่นๆ ซึ่ง Floor rocking ได้เข้ามาเป็นท่า เต้นหลักเพิ่มขึ้น จาก toprocking ในช่วงการเต้นขึ้นลงสู่พื้น เรียกว่า การ godown หรือ การ drop ยิ่งทำได้ลื่นไหลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีFreezes นั้นมักใช้ในเป็นท่าจบ ซึ่งมักจะใช้เป็นท่าล้อเลียนหรือท้าทายฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ ท่าที่ยอดฮิตก็คือ chairfreeze และ babyfreeze ท่า chair freeze นั้นกลายเป็นท่าพื้นฐานของหลายๆท่าเพราะว่าระดับความยากง่ายของท่าที่ต้องใช้ความสามารถพอตัว คือ การใช้มือ แขน ข้อศอกในการพยุงตัวในขณะที่เคลื่อนไหวขาและสะโพกเป้าหมายหลักในการปะทะ หรือ Breaking Battle นั้นก็คือ เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยท่าที่ยากกว่า สร้างสรรค์กว่า และรวดเร็วกว่าในทั้งจังหวะและการFreezesซึ่งก็เป็นสิ่งที่ Breaking crews หรือกลุ่มของนักเต้นนั้น เข้ามารวมตัวกันและช่วยกันฝึกฝนและคิดค้นท่าใหม่ๆ เพื่อเอาชนะกลุ่มอื่นๆกลุ่มบีบอยที่เป็นที่รู้จักในช่วงแรกๆ คือ กลุ่ม Nigga Twins และกลุ่มอื่นๆอย่างเช่น TheZulu Kings, The Seven Deadly Sinners, Shang-hai Brothers, The Bronx Boys, Rockwell Association,Starchild La -Rock,Rock Steady Crew and the Crazy Commanders(CC step) เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกวงการนักเต้นบีบอยยุคแรกๆ ช่วงที่การเต้นแบบนี้เริ่มพัฒนาจนมีเอกลักษณ์ น่าสนใจและสร้างนักเต้นที่เป็นที่รู้จักนั่น ก็คือช่วงกลางยุคปี 70 ก็ได้แก่นักเต้นอย่าง Beaver, Robbie Rob(Zulu Kings), Vinnie, Off (Salsoul), Bos (Starchild La Rock), Willie Wil,Lil' Carlos (Rockwell Association), Spy, Shorty (Crazy Commanders),Jame Bond, Larry Lar, Charlie Rock (KC Crew), Spidey, Walter (Master Plan) ฯลฯกลุ่มบีบอยใหญ่ๆที่ทำใหศิลปะการปะทะกันด้วยเบรคแด๊นซ์นี้ไม่หายไปก็คือการปะทะกันระหว่างกลุ่ม SalSoul (เปลี่ยนชื่อภายหลังเป็น The DiscoKids)กับกลุ่ม Zulu Kings และระหว่างกลุ่ม Starchild La Rock กับ Rockwell-Association ในขณะนั้น เบรคกิ้ง หรือ เบรคแด๊นซ์ ยังมีแค่ท่า Freezes,Footworks and Toprocks และ ยังไม่มีท่า Spins!ในช่วงปลายยุค 70 กลุ่มบีบอยรุ่นเก่าๆเริ่มที่จะถอนตัวกันไปและบีบอยรุ่นใหม่ๆก็เริ่มเข้ามาแทนที่ และ คิดค้นสร้างสรรค์ท่าและรูปแบบการเต้นใหม่ๆขึ้นเช่น การหมุนทุกๆส่วนของร่างกาย เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เช่นท่า Headspin, Continues Backspin หรือ Windmill และอื่นๆอีกมาก ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนามาเรื่อยๆในช่วงยุค 80 มีกลุ่มบีบอยหลายๆกลุ่มที่โด่งดังในกรุงนิวยอร์ก ได้แก่'Rock Steady Crew' , 'NYC Breakers' , 'Dynamic Rockers' , 'United StatesBreakers' , 'Crazy Breakers' , 'Floor Lords' , 'Floor Masters' , 'IncredibleBreakers' , 'Magnificent Force' ฯลฯ บีบอยที่เก่งช่วงนั้นก็เช่น Chino, Brian,German, Dr. Love (Master Mind), Flip (Scrambling Feet),Tiny (IncredibleBody Mechanic) ฯลฯ.การปะทะกันที่ยิ่งใหญ่มากในตอนนั้น เป็นการปะทะกันระหว่างRock Steady Crew กับ NYC Breakers และระหว่าง Rock Steady Crewกับ Dynamic Rockers และในช่วงปลายยุคปี80การปะทะกันระหว่างกลุ่มเหล่านี้ก็เริ่มดึงดูดสายตาเหล่าสื่อมวลชนและในปี1981 ช่องABCได้ถ่ายทอดการแสดงของ Rock Steady Crewที่ Lincoln Center และในปี1982 การปะทะกันระหว่าง Rock Steady Crew กับ--Dynamic Rockers ได้รับการบันทึกเป็นสารคดี ในชื่อ "Style Wars" และได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นทางการจากช่อง PBS ซึ่งก็ทำให้ การเต้นเบรกกิ้งเดินทางไปสู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และในปีเดียวกันนั้น "Roxy" คลับโรลเลอร์สเก็ตดิสโก้ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น คลับฮิปฮอป.ปี1983 ภาพยนตร์ "Flashdance" เป็นที่นิยมอย่างมาก และ มิวสิควีดีโอของMalcolm McLarens ที่ชื่อ "Buffalo Gals" ก็ได้ฉายออกทีวี Rock Steady Crew นั้นได้มีส่วนร่วมแสดงในทั้งสองเรื่องและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากความสำเร็จของทั้งภาพยนตร์และเพลงสำหรับคนทั่วไปแล้วการเต้น ?เบรคกิ้ง?นั้นเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน และน่าตื่นตาตื่นใจ และในปีเดียวกันนั้น ภาพยนตร์เรื่อง"Wild Style" ก็ออกฉายและมีการโปรโมตภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการออกทัวร์ครั้งแรกของชาวฮิปฮอป มีทั้ง The MCs, DJs, Graffiti artists และ Breakers เดินทางไปโปรโมตที่ London และ Paris การออกโปรโมตครั้งนี้นั้นเป็นครั้งแรกที่โชว์เบรคกิ้ง ได้เปิดการแสดงสดในทวีปยุโรปในปี1984 ภาพยนตร์เรื่อง"Beat Street" เปิดตัวฉายและกลุ่มบีบอยที่ได้แสดงในเรื่องก็คือ Rock Steady Crew, NYC Breakers และ Magnificent Forceและในช่วงการแสดงปิดท้ายงาน LA Olympic Summer Games เป็นการแสดงของบีบอย และ บีเกิร์ลกว่า 100คน! และในปีเดียว กัน "Swatch Watch NYC Fresh Tour"ก็ออกฉาย และภาพยนตร์ชื่อ "Breakin" ก็เริ่มถ่ายทำในปี1985 และต่อด้วย"Breakin 2: Electric Boogaloo" ทั้งสองเรื่อง ถ่ายทำในไนท์คลับชื่อ "Radio" (ภายหลังชื่อ "Radiotron") ใน LA' Breakin' หรือ Breakdance' ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยและแฟชั่น เห็นได้จากโฆษณา ผลิตภัณฑ์นม,RightGuard, Burger King ฯลฯ และรายการทีวี อย่าง Fame, That's Incredible!,David Letterman ฯลฯ ทั้งนี้กลุ่มบีบอยยังได้รับเกียรติให้เป็นแขกกิตติมศักดิ์ของเจ้าชาย ของ Bahrain และQueen Elizabeth อีกด้วยจวบจนปัจจุบัน "บีบอย" ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป และได้รับความนิยมไม่ว่าจะเป็นมุมไหนของโลก การสร้างสรรค์ลีลาการเต้นที่เป็นสนุกสนานก็ยังคงดำเนินต่อไป......
ประวัติเจ้าพ่อกวนอู
ประวัติเจ้าพ่อกวนอู เจ้าพ่อกวนอู สามัญชนทั่ว ๆ ไปเรียกว่า กวงเสียตี่กุงกวงเสียก็คือเทพเจ้า แซ่กวง ส่วนคำว่า ตี่กุง นั้น เป็นตำแหน่งยศของเทพเจ้าสูงส่งทางศาสนา เต๋านอกจากนี้ ยังมีที่เรียกกันอีกว่า เหียบเทียงไต่ตี่ บู่เสีย (เทพเจ้าฝ่ายบู๊)และ กวงกง บรรดาพ่อค้าชาวจีนนับถือกันว่าเป็นบู่ไฉ่ซิ้ง (เทพโชคลาภฝ่ายบู๊)บรรดาสานุศิษย์ของลัทธิ หยู (ขงจื้อ) นับถือกันว่าเป็นหนึ่งในห้าเทพเจ้าแห่งดาว บุ่งเชียง (ดาวมหาบัณฑิตสติปัญญา)ชาวจีนตั้งแต่ชนชั้นกรรมาชีพถึงนักบริหารต่างบูชา กวนอู เพราะถือว่าเขาคือสัญลักษณ์แห่งคุณธรรม (เหริน) การรู้คุณและตอบแทนคุณ (อี้) ความซื่อสัตย์ (จง) และความกล้าหาญ (หย่ง) "ขงจื๊อ" อาจถูกนับถือ โดยเฉพาะในหมู่ปัญญาชนว่าเป็น "นักปราชญ์ชั้นปรมาจารย์" ผู้เป็นเสาหลักแห่งอารยธรรมจีน แต่กวนอูนั้นเป็น "วัตถุบูชา" (Icon) ของปัจเจกบุคคลจีน จากแง่มุมของนักปฏิบัติค่านิยมอันเลิศล้ำ (ตามแบบฉบับจริยธรรมของลัทธิขงจื๊อ) บวกกับความกล้าหาญ (ถึงขั้นไม่กลัวตาย) หรืออีกนัยหนึ่ง ขงจื๊อ สอนให้คนรู้จักค่านิยมของการอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคมที่มีคุณธรรม ส่วนกวนอูถูกมองเป็น นักปฏิบัติ (Activist) ที่เชิดชูปกป้องคุ้มครองความเป็นธรรมของสังคมกิตติศัพท์ของ "กวนอู" ถูกเผยแพร่เป็นตำนานโดยปลายปากกาของนักเขียนมีนามว่า หลอก้วนจง แห่งราชวงศ์หมิง เมื่อห้าร้อยปีก่อน และต่อมาชาวบ้านได้เทิดทูนและยกระดับความเคารพนับถือต่อกวนอู เป็นเทพเจ้า (เซิ่งตี้จวิน) เมื่อราวสองสามร้อยปีที่ผ่านมา โดยสร้างศาลเจ้าให้เป็นที่บูชากราบไหว้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัจเจกบุคคลจีน จุดธูปเทียนบูชากวนอู มิใช่เพราะเขาได้กลายเป็น "เทวดา" ที่มีอำนาจบันดาลโชคลาภหรืออำนาจวาสนา แต่คนทั่วไปกราบไหว้เพื่อขอแรงดลใจจากเทพเจ้า ที่เป็นสัญลักษณ์ของบุคคลที่มีคุณธรรม ความซื่อสัตย์ และความกล้าหาญ ฉะนั้นการบูชาเทพเจ้ากวนอูคือการรำลึกถึงวีรกรรมความดีที่ได้สร้างไว้ในตำนานประวัติศาสตร์
ประวัติสิงโตต่างๆ
ชาวจีนได้แบ่งสิงโตออกเป็น 4 ประเภทคือ สิงโตกวางตุ้ง สิงโตปักกิ่ง สิงโตไหหลำ(เสือไหหลำ) สิงโตฮากกา(สิงโตจีนแคระ) 1.สิงโตกวางตุ้งคือสิงโตที่นิยมเชิดกันมากที่สุดเพราะมีสีสันและลวดลายสวยงาม เห็นได้ทั่วไปตามงานวัดและงานมงคลของไทยแลจีน มักประดับกระจกที่หน้าผาก สิงโตกวางตุ้งประกอบด้วยสัตว์ 3 ชนิด คือ แรด(มีนอที่หน้าผากเหมือนแรด) ม้า(มีลำตัวเหมือนม้า) สุนัข(มีอากัปกิริยาเหมือนสุนัข) มีคนคอยติดตามคือแป๊ะยิ้มในมือถือพัดที่ทำมาจากใบตาล คู่กับยายซิ้มที่ในมือถือตะกร้าใส่ดอกเบ็ญจมาศ และจี้กงเป็นคนเมามีหน้าตาสกปรกมอมแมมในมือถือขวดน้ำเต่ใส่หล้า 2.สิงโตปักกิ่ง เป็นสิงโตที่มักเห็นกันตามคณะกายกรรมของจีน มีลักษณะเหมือนสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง มีอากัปกิริยาที่หน้ารัก มักเชิดกันเป็นคู่คือ พ่อ-แม่ และ ลูก2-4ตัว หัวสิงโตปักกิ่งนั้นจะไม่ค่อยมีลวดลายจะใช้แค่สีทอง และลำตัวจะมีแค่สองสีเท่านั้นเช่น แดง-เหลือง ส้ม-เหลือง เหลือง-เขียว เป็นต้นและจะมีคนคอนล่อลูกแก้วให้สิงโตวิ่งตาม สิงโตปักกิ่งได้เข้ามาในประเทศไทยสมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายก ได้เดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศจีน คณะกรรมการแห่เจ้าพ่อเจ้าแม่ปากน้ำโพในปีพ.ศ. 2519 ได้ชมการแสดงสิงโตปักกิ่งของคณะกายกรรมกวางเจาที่มาแสดงในประเทศไทยจึงเกิดความคิดที่จะนำมาเข้าร่วมขบวนแห่ด้วย จึงได้จัดหาอาจารย์มาฝึกสอนโดยเชิญอาจารย์ลิ้มอู้จั้ว จากฮ่องกง ซึ่งมีความชำนาญในการแสดงศิลปะต่างๆมาฝึกสอนเป็นเวลา 3 ปี3.สิงโตไหหลำหรือเสือไหหลำเป็นของชาวจีนไหหลำ เหตุที่เรียกเสือไหหลำก็เพราะมีเรื่องเล่าว่ามีแม่ลูกคู่หนึ่งเดินทางไปไหว้ศาลเจ้าปึงเถากงหนึ่งในไหหลำ และได้มีเสือนอนหลับอยู่ข้างศาลเจ้า โดยปกติเสือตัวนี้จะไม่ทำร้ายใคร จนเด็กคนนี้ไปแหย่เสือที่นอนหลับอยู่เสือก็ตื่นขึ้นด้วยความโกรธแล้วกินเด็กลงไป ส่วนแม่ก็ได้แต่ยืนดูโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ยืนร้องไห้อยู่ตรงหน้าศาลเจ้า ฝ่ายเทพเจ้าปึงเถากงเห็นเหตุการณ์ก็นึกสงสารจึงไปขอให้พระภูมิเจ้าที่สององค์ช่วยเหลือชาวจีนไหหลำจึงได้นำตำนานเรื่องนี้มาเป็นการแสดง4.สิงโตฮากกาหรือสิงโตจีนแคะมีลักษณะของหัวคล้ายกับบุ้งกี๋ มีสีสันสวยงามรองลงมาจากสิงโตกวางตุ้ง มักจะใช้สี แดง หลือง เขียวในการแต่งลวดลาย มีประวัติที่ยาวนานคือ ครั้นสมัยโบราณกาลที่ประเทศจีนเกิดภัยพิบัติ ฝนแล้งติดต่อกันมานานหลายปีชาวบ้านชาวนาเดือดร้อน ทำให้พระเจ้าแผ่นดินจีนมีพระราชบัญชาให้โหรหลวงช่วยตรวจสอบชะตาเมืองว่าจะมีทางแก้ไขอะไร ฝ่ายโหรหลวงได้ทูลหนทางแก้ไขว่าต้องหาคนไปจับสิงโตที่ชมพูทวีปมาแห่รอบเมืองเพื่อขับไล่สิงชั่วร้ายออกไป จึงให้ทพารไปประกาศหาคนฝีมือดีไปจับสิงโต แต่ก็ไม่มีใครที่จะมาอาสาไป ความทุกข์นี้ทราบไปถึงเง็กเซียนฮ่องเต้บนสวรรค์ จึงส่งซาเซียนลงมาจับสิงโต โดยมีหญ้าเล่งจือเช่าเป็นยาอายุวัฒนะกับพัดของเจ้าแม่กวนอม พอมาถึงก็ได้พบสิงโตตัวหนึ่งมีขนสีทอง ท่วงทีอาจอ้วนพีมีลักษณะดีมากจึงสยบสิงโตด้วยพัดของเจ้าแม่กวนอิม แล้วหลอกล่อให้สิงโตกินหญ้าอายุวัฒนะที่เสกมนต์กำกับไว้ แล้วนำมาแห่ทั่วเมือง ทำให้ภัยพิบัติต่างๆหมดสิ้นไป
ประวัติเอ็งกอ
''ประวัติเอ็งกอ-พะบู๊ เมืองปากน้ำโพ''เอ็งกอ เป็นผู้กล้าแห่งเหลียงซันโป๋ ๑๐๘ คน มีเรื่องราวตำนานที่เล่าขานกันมานานของชาวจีน เกิดในสมัยราชวงศ์เป่ยซ่ง รัชกาลซ่งฮุยจงฮ่องเต้(ค.ศ. ๑๑๐๐-๑๑๒๕) เป็นเรื่องราวของชุมโจรเหลียงซันโป๋ มณฑลซานตง ในเมืองนี้มีเขาเหลียงซันเป็นเขาที่มีหน้าผาเป็นภูมิประเทศที่ง่ายต่อการตั้งรับและยากต่อการบุกโจมตี เวลากล่าวถึงเอ็งกอ จึงเรียกกันติดปากว่าผู้กล้าแห่งเขาเหลียงซันโจรเหลียนซันโป๋ ๑๐๘ คนมีอาชีพและฐานะทางสังคมต่างกัน มีทั้งชาวนา ชาวประมง คนรากรถ พ่อค้า นายพราน นายช่าง หมอ สัตวแพทย์ ครู นักบวช เศรษฐี ข้าราชการชั้นผู้น้อย ทหาร และเชื้อพระวงศ์ โจรเหล่านี้รักใคร่สามัคคีกันดุจพี่น้อง สร้างพลังที่จะต่อจ้านความอยุติธรรมที่เกิดในสังคมยุคนั้น เรียกว่าเป็นโจรคุณธรรมปล้นคนโกงชาติโกงแผ่นดินเอารัดเอาเปรียบประชาชน ได้ทรัพย์สินมาก็แบ่งให้คนยากจน เวลาออกทำการโจรทั้ง ๑๐๘ คนจะเขียนหน้าต่างกันเป็นเอกลักษณ์ของใครของมัน นี่คือความพิเศษที่โดดเด่นของเอ็งกอในงานเทศกาลประเพณีแห่เจ้าของชาวตลาดปากน้ำโพ ได้นำเอาเรื่องราวของเอ็งกอมาแสดงเรียกว่า เอ็งกอ-พะบู๊ คือ มีการแสดงถึงการต่อสู้รบด้วยวิธีที่แต่ละคนถนัด จากการบอกเล่าของนายพินิจ ชอบทางศิลป์ (เฮ่งต็กคู) อายุ ๗๗ ปี(พ.ศ. ๒๕๔๙) เคยเป็นผู้แสดงในคณะเอ็งกอรุ่นแรก และเป็นผู้ช่วยสอนเอ็งกอ ของปากน้ำโพเล่าว่า 'การเล่นเอ็งกอในปากน้ำโพเริ่มต้นมาในปี พ.ศ.๒๔๙๐ ปีเดียวกับการเกิดกบฏแมนฮัตตันที่กรุงเทพฯ เริ่มมาจากนายคอซัว แซ่เตีย คนจีนที่มาจากหมู่บ้านโถ่วเกา อำเภอโผวเล้ง จังหวัดแต้จิ๋ว ประเทศจีน นายคอชัว เคยเล่นเอ็งกอที่หมู่บ้านในเมืองจีนมาก่อน เมื่อมาอยู่ปากน้ำโพ ท่านทำงานอยู่ที่เรือส่งสินค้า ส่วนผมทำงานอยู่ในโรงย้อมผ้าเฮ่งช่วงหลี ที่ตลาดลาว นายคอซัวและเพื่อน ๆ มาชวนผมให้ไปเล่น แรก ๆ ผมไม่ไปแต่พี่ชายผมคือรายเฮ่งเต็กเม้ย ปัจจุบันคือนายสุกิจ ชอบทางศิลป์ โรงน้ำแข็งกิจเจริญ ไปเล่น ตอนหลังพี่ชายผมก็มาชวนผมไปเล่นด้วย ในยุคแรกเถ่าแก่เอ็งเช่งหมง โรงไม้เอ็งเช่งหมง (บิดาของคุณสุมนา อาชาไนย ที่สร้างศาลเจ้าแม่หน้าผาเป็นอาคารไม้หลังแรก) ได้ช่วยสนับสนุนตั้งคณะและทำไม้พลองให้ พร้อมทั้งให้ที่พักแก่นายคอซัว แซ่เตียที่มาจากเมื่องจีนใหม่ ๆเอ็งกอปีแรกของปากน้ำโพมี "จับหลักทุ้ยจับหลักโก้ว" คือมีผู้เล่นไม้พลอง ๑๖ คน ผู้ตีกลองขนาดเล็ก ๑๖ คน นอกนั้นเป็นผู้เล่นดนตรีมีกลอง ล้อ(ล่อ) แฉ(ดาบ) และมีการเล่นพะบู๊ต่อท้าย การแต่งกายเอ้งกอในยุคเริ่มแรก ใส่เสื้อคอกลมขาว เขียนชื่อผู้สนับสนุน มีผ้าโพกหัวเว้นครูฝึก ขอยืมหมวกและหนวดจากโรงงิ้วมาใช้ มีผ้าผูกคอเหมือนลูกเสือ นุ่งกางเกงแพรสีน้ำเงินมีแถบข้างขา ๓ แถบ มีผ้าผูกเอว สวมรองเท้าหุ้มข้อยี่ห้อนันยางและมีผ้าพันแข้ง การเขียนหน้าคณะงิ้วจะเขียนให้เฉพาะตัวเอก ๕ ตัวคือหลีคุ้ย บู๋ซ้ง โล้วจุ้งหงี เตียสุงเป็นต้น และก่อนการแสดงทุกครั้งจะมีพิธีไหว้ครูไหว้เจ้าที่ ไหว้เหล่าเอี๊ยผู้เป็นใหญ่ในสถานที่นั้นทุกครั้ง ชาวเอ็งกอจะไหว้ฉั่งซือเอี้ยก่อน เพื่อสาบานเป็นพี่น้องกัน และเชือดไก่เอาเลือดผสมเหล้าให้ทุกคนดื่ม "การแสดงเอ็งกอถือเป็นจุดเด่นคณะหนึ่งในขบวนแห่เจ้าพ่อเจ้าแม่เฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนของชาวปากน้ำโพ มีการพัฒนาและรักษาการแสดงจากอดีตสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งจะหาชมได้เฉพาะในงานเทศกาลประเพณีแห่เจ้าของชาวปากน้ำโพเท่านั้น
มังกรทอง
''ประวัติมังกรทอง เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ปากน้ำโพ''มังกรทอง ของชาวจีนเป็นตัวแทนขององค์จักรพรรดิ เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ความเจริญรุ่งเรืองและความมีอำนาจ ดังนั้นจึงถือเป็นสัตว์ที่เป็นมงคล ถ้าได้พบเห็น หรือเยี่ยมกรายผ่านบ้านใคร ถือได้ว่าเสมือนได้รับพรจากมังกร คนจีนเชื่อกันว่า ฝูชี บรรพบุรุษของชาวฮั่นในตำนานเป็นลูกของมังกร คนจีนจึงถือว่าตนเป็นลูกหลานของมังกร ถ้ามองอีกแง่หนึ่งตามตำนานมังกรเป็นผู้ให้น้ำแก่โลกมนุษย์ ซึ่งน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ จึงอาจถือได้ว่ามังกรเป็นผู้ที่นำความอุดมสมบูรณ์มาให้ก็ได้ การจัดแห่มังกรทองจะทำได้ต่อเมื่อท้องถิ่นนั้นมีแม่น้ำมีภูเขา และเป็นเมืองใหญ่เท่านั้นการแห่มังกร ของชาวปากน้ำโพได้ริเริ่มขึ้นในสมัยนายหม่งแจ๋ แซ่เล้า เป็นประธานจัดงานในปี พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๐๗ โดยได้ปรึกษา นายเป็งไฮ้ แซ่ตั้ง และ นายเต็งลิ้ม แซ่เอ็ง ไปติดต่อให้อาจารย์ เล่งจุ้ย แซ่ลิ้ม เป็นครูสอน และมีนาย ตงฮั่ง แซ่ตั้ง เป็นผู้ทำมังกรตัวแรก ซึ่งได้ใช้จนปี ๒๕๓๕ปัจจุบันได้จำลองแบบออกมาเป็นหัวมังกรที่มีความงดงามมาก มังกรทองเจ้าพ่อ-เจ้าแม่ปากน้ำโพมีลีลา การเชิดที่เข้มแข็งสง่างาม ด้วยลำตัวที่ยาว ๕๒ เมตร และผู้เล่น ๑๘๐ คน ทำให้ผู้ชมสามารถสัมผัสถึงพลังแห่งอำนาจแห่งพญามังกรได้อย่างประทับใจไม่รู้ลืม ลีลาการเชิดมังกรทองนี้เป็นลีลาเฉพาะตัวที่แตกต่างจากที่มีการเชิดมังกรในประเทศจีนและญี่ปุ่น และถือได้ว่าเป็นต้นตำรับการเชิดมังกรในประเทศไทยซึ่งมีการแสดงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเอเซีย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)